11.13.2553

Honda Rune

Honda Rune นั้นเป็นการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีตะวันออกผนวกกับรูปแบบดีไซน์ของตัวรถแบบ ฝั่งตะวันตกเป็นงานออกแบบที่แตกต่างไปจากครูสเซอร์อื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด เป็นงานที่ท้าทายสายตาเป็นอย่างยิ่ง และสำหรับรุ่นนี้เป็นเจนเนอเรชั่นต่อจากรุ่น Valkyrie ซึ่งในครั้งนั้นก็ทำให้ฮอนด้าได้ชื่อว่าผลิตครูสเซอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกออก มาจนเป็นที่ฮือฮากันทั้งวงการ เมื่อมาถึงรุ่นนี้ฮอนด้าได้สร้างสีสันใหม่ให้กับวงการอีกครั้งด้วยดีไซน์ที่ โดดเด่นไม่เหมือนใคร
ก่อนที่งานชิ้นนี้ออกมามันมีการพัฒนามาเป็นขั้นตอน ในช่วงระยะเวลาเกือบสิบปีที่ผ่านมา โดยรุ่นนี้ใช้เส้นสายแบบเดียวกับคันต้นแบบในรุ่น Zodia ซึ่งออกมาในปี 1995 ในงานโตเกียวมอเตอร์โชว์ สำหรับรุ่น Zodia เป็นการนำเสนอแนวทางใหม่ๆ ในการเปลี่ยนแปลงมอเตอร์ไซค์ประเภทครูสเซอร์ด้วยการใช้ความไฮเทคทางด้าน วิศวกรรม และสไตล์ในเส้นสายแบบย้อนยุค พร้อมกับช็อควงการด้วยการใช้ช่วงล่างด้านหน้าแบบ trailing-link และด้านหลังใช้สวิงอาร์มเดี่ยว ซึ่งนำมาใช้อยู่ในรุ่น Rune นี้ด้วย ส่วนเครื่องยนต์เป็นขนาด 1,500 ซีซี. V-twin โอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ส่งกำลังไปขับเคลื่อนที่ล้อหลัง และใช้เกียร์ใหม่ hydro-mechanical automatic transmission กับ HFT (Human Fitting Transmission) ระบบเบรกใช้จานเบรกยึดติดกับขอบล้อด้วยเทคโนโลยีล่าสุดของฮอนด้า (Linked Braking/Antilock Braking System)

ต่อมาเป็นรุ่น T-Series Concepts โดยหลังจากสามปีที่รุ่น Zodia ได้ถูกแนะนำตัวออกมาครั้งแรก ฮอนด้าจึงได้เปิดเผยถึงต้นแบบคันต่อมา โดยเป็นผลงานจาก HRA (Honda Research America) และมีต้นแบบออกมาทั้งหมด 4 รุ่น เริ่มจาก T1 ใช้เครื่องยนต์ของ Gold Wing เป็นแบบ 6 สูบนอนยันออกโชว์ตัวครั้งแรกในช่วงปลายปี 1998 โดยใช้แนวทาง hot-rod แสดงถึงพละกำลัง เฟรมแบบทวินสปาร์สีเดียวกับตัวรถ ส่วนสวิงอาร์มเป็นอลูมินั่มหล่อ บังโคลนท้ายคล้ายกับในรุ่น VTX ซึ่งเฉือนให้สั้นและรวมไฟท้ายแบบ LED เข้าไว้เป็นส่วนเดียวกัน ถังน้ำมันและเบาะนั่งมีเส้นสายสอดรับกันพอดีแบบรุ่น VTX จุดยึดแฮนด์รวมอยู่กับมาตรวัดดูแปลกไปอีกแบบ ท่อไอเสียที่สื่อถึงความทรงพลัง ช่วงล่างด้านหลังเป็นแบบโปร-อาร์ม โชคอัพเดี่ยว

รุ่นต่อมาคือ T2 เป็นการรวมระหว่าง neo/retro โดยใช้บังโคลนขนาดใหญ่ ถังน้ำมันเรียวยาว ใช้เครื่องยนต์ 6 สูบ เฟรมแบบอลูมินั่มทวินสปาร์ และช่วงล่างด้านหลังเป็นแบบโปร-อาร์มพร้อมสวิงอาร์มแบบเดี่ยว ท่อไอเสียขนาดใหญ่ออกแบบให้เข้ารูปลงตัวในแต่ละข้างของตัวรถ ช่วงล่างด้านหน้าแบบ trailing-link ไฟหน้าสองดวงในแบบโปรเจ็คเตอร์ซึ่งทำให้หน้าตาดูแตกต่างและแก๊ปด้านบนของโคม ไฟหน้าเป็นโครเมี่ยม มาตรวัดติดตั้งอยู่ตรงส่วนกลางของแฮนด์ทรงปีกนก ไฟท้ายและไฟเลี้ยวเป็นแบบ LED

มาถึงรุ่น T3 เป็นสไตล์ตัวแข่งแดร็กไบค์ให้อารมณ์เหนือกว่าครูสเซอร์ธรรมดา โดยเฉพาะสคู๊ปดักอากาศทั้งสองข้างให้อารมณ์ดิบๆ ได้ดี มุมเอียงของแกนชอคอัพหน้ามีมากขึ้น ท่อไอเสียเห็นปลายข้างละสามท่อชัดเจน บังโคลนหน้าหลังสั้นๆ เล็กๆ แฮนด์เป็นสไตล์แดร็กมาตรวัดอยู่สูงเห็นชัดเจน ยาหลังใช้ขนาดใหญ่ 230/60-16 ล้อหน้าลาย 5 ก้านพร้อมกับยึดจานเบรกเอาไว้กับขอบล้อ

สุดท้ายเป็นรุ่น T4 ซึ่งไม่เหมือนกับสามแบบแรก โดยดีไซน์ได้ดุดัน เฟรมเป็นแบบอลูมินั่มทวินสปาร์ขนาดใหญ่แบ่งออกเป็นสามส่วน สวิงอาร์มแบ่งได้เป็นสามชิ้น ส่วนการขับเคลื่อนที่ล้อหลังใช้เพลา ยางหลังอ้วนใหญ่สไตล์รถแดร็กไบค์ในขนาด 26.0 x 9.0-15

เทคโนโลยี

จากต้นแบบที่ผ่านๆ มาจนกลายมาเป็น Rune ในวันนี้ใช้เวลาอยู่นานพอสมควรซึ่งเมื่อถึงยุคนี้เทคโนโลยีใหม่ๆจึงพบได้ใน รุ่นนี้เช่นกัน ตั้งแต่การปฏิวัติช่วงล่างด้านหลังโดยนำมาจากตัวแข่งโมโตจีพี RC211V ซึ่งเป็นแบบ Unit Pro-Link และนำมาปรับในบางจุดให้เหมาะสมกับการใช้งานบนท้องถนน สำหรับช่วงล่างทางด้านหน้าเป็นแบบ Trailing Bottom-Link โดยการทำงานจะส่งแรงผ่านขึ้นมายังชอคอัพสองตัวที่ติดอยู่ด้านบนใต้แผงคอมี ระยะยุบตัว 99 มม. ระบบรองรับน้ำหนักแบบนี้มีอยู่ในต้นแบบรุ่น Zodia เป็นความก้าวหน้าอีกชิ้นที่ฮอนด้านำมาใช้กับรุ่นนี้

ด้วยโครเมี่ยม หม้อน้ำขนาดใหญ่ด้านหน้ามีที่ครอบสวยงาม และยังมีระบบ RACV (Rotary Air Control Valve) ซึ่งเป็นระบบออโต้โช้คเพื่อควบคุมรอบเดินเบาในหลายๆสภาพและหลายๆ ระดับอุณหภูมิ ท่อไอเสียแบบ 6–2 ออกแบบให้เข้ารูปลงตัว และสุ้มเสียงเร้าใจ คลัทช์แบบไฮดรอลิค ระบบจุดระเบิดอิเล็คทรอนิคส์ และโซ่แคมชาฟท์ซึ่งออกแบบให้ลดการเซอร์วิสลงไปได้มาก อัลเตอร์เนเตอร์มีกำลังสูงถึง 1,100 วัตต์เพียงพอที่จะจ่ายไฟให้กับทุกระบบ การส่งกำลังใช้เกียร์ 5 สปีดในอัตราทดแบบโคลสเรโช และค่าไอเสียที่ออกมาอยู่ในระดับต่ำสามารถผ่านได้แม้ในมาตรฐานของรัฐแคลิ ฟอร์เนีย

สภาพและหลายๆ ระดับอุณหภูมิ ท่อไอเสียแบบ 6–2 ออกแบบให้เข้ารูปลงตัว และสุ้มเสียงเร้าใจ คลัทช์แบบไฮดรอลิค ระบบจุดระเบิดอิเล็คทรอนิคส์ และโซ่แคมชาฟท์ซึ่งออกแบบให้ลดการเซอร์วิสลงไปได้มาก อัลเตอร์เนเตอร์มีกำลังสูงถึง 1,100 วัตต์เพียงพอที่จะจ่ายไฟให้กับทุกระบบ การส่งกำลังใช้เกียร์ 5 สปีดในอัตราทดแบบโคลสเรโช และค่าไอเสียที่ออกมาอยู่ในระดับต่ำสามารถผ่านได้แม้ในมาตรฐานของรัฐแคลิ ฟอร์เนีย

ระบบเบรกด้านหน้าใช้ดิสค์จานคู่ขนาด 330 มม. และด้านหลังขนาด 336 มม. ซึ่งถือว่ามีขนาดใหญ่มากสำหรับรถที่ผลิตออกมาจำหน่าย สำหรับคาลิเปอร์ของเบรกหน้าเป็นแบบ 3 ลูกสูบกับเบรกหลังใช้คาลิเปอร์แบบ 2 ลูกสูบ โดยการทำงานตามปกติเมื่อเบรกหน้าคาลิเปอร์ของเบรกหน้าจะทำงาน 2 ลูกสูบแต่เมื่อมีการใช้เบรกหลังลูกสูบในคาลิเปอร์เบรกตรงกลางของเบรกหน้าจะ ทำงานเพื่อให้การเบรกเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและนุ่มนวล




ระบบความปลอดภัยฮอนด้าใช้ระบบ H.I.S.S (Honda Ignition Security System) เพื่อความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ฮอนด้าได้เพิ่มความสวยงามด้วยโครเมี่ยมในส่วนต่างๆเช่น แม่ปั๊มเบรกหน้า สายเบรก วงล้อและฝาครอบเครื่องยนต์ ไฟหน้าใช้หลอด H7 มีกำลัง 55 วัตต์ ไฟท้ายแบบ LED อยู่ในรูปทรงตั้งเข้ารูปกับบังโคลนท้ายเป็นดีไซน์ที่ดูแตกต่างไปจากเดิมๆ

นับว่า Honda Rune เป็นอีกไลฟสไตล์ของผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ประเภทท่องเที่ยวทางไกล ซึ่งคิดว่าน่าจะถูกใจ โดยเฉพาะทางฝั่งยุโรป ซึ่งดูแล้วน่าจะสมส่วนกับตัวรถ แต่จะว่าไปสภาพภูมิประเทศเส้นทางขับขี่ท่องเที่ยวรถจักรยานยนต์บ้านเราก็ เหมาะกับ Honda Rune เหมือนกัน อยากลองสัมผัสซักครั้งจริงๆ เพื่อนๆคิดเหมือนกันหรือปล่าวครับ……

ข้อมูลจำเพาะ

BMW S 1000 RR

BMW S 1000 RR เครื่อง 4 สูบ เฟรมอะลูมิเนียม ระบบความปลอดภัยเพียบทั้งABS และระบบรักษาเสถียรภาพ DTC Dynamic Traction Control
“BMW S 1000 RR เป็นการก้าวเข้าสู่เซ็กเมนต์ซูเปอร์ไบค์ครั้งแรกของบีเอ็มดับเบิลยู อีกทั้งยังเป็นการก้าวเข้าสู่การ แข่งขัน World Superbike Championship โดยทีม BMW Motorrad Motorsport เองด้วย มอเตอร์ไซค์ BMW S 1000 RR เปี่ยมด้วยนวัตกรรมทั้งในด้านสมรรถนะ และความปลอดภัย ด้วยเครื่องยนต์ 4 สูบ 1000 ซีซี 193 แรงม้า และน้ำหนักเพียง 204 กิโลกรัม BMW S 1000 RR จึงมีอัตราส่วนแรงม้าต่อน้ำหนักดีที่สุดคันหนึ่ง นอกจากนี้การกระจายน้ำหนักอย่างสมดุล ระบบช่วงล่างที่เหนือชั้น และระบบเสริมความปลอดภัยแบบ แอกทีฟ เช่น ระบบเบรก Race ABS และระบบรักษาเสถียรภาพ DTC Dynamic Traction Control ทำให้ BMW S 1000 RR เป็นมอเตอร์ไซค์ที่มีความมั่นคงและปลอดภัยสูงที่สุดคันหนึ่งเลยก็ว่าได้ ส่วน BMW F 800 R ‘The Naked Bike’ ก็มีความพิเศษอย่างมากเช่นกัน ด้วยความปราดเปรียวคล่องตัวอย่างเหนือชั้น ทำให้มันได้เป็นมอเตอร์ไซค์คู่ใจของ คริส ไฟเฟอร์ แชมป์โลกการขับมอเตอร์ไซค์ผาดโผน 4 สมัย และในงานนี้เรายังมีอีก 2 รุ่นที่เป็นที่นิยมสำหรับตลาดเมืองไทยด้วย ได้แก่ BMW R 1200 GS / Adventure และ BMW R 1200 RT ด้วย”
BMW S 1000 RR พัฒนาขึ้นบนคอนเซ็ปต์มอเตอร์
ไซค์แบบซูเปอร์ไบค์ ใช้เครื่องยนต์แถวเรียง 4 สูบบนตัวถังเฟรมอะลูมิเนียมน้ำหนักเบา มุ่งเน้นที่เสถียรภาพการขับ ความปราดเปรียว และความเฉียบคมในการบังคับที่เป็นเลิศ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับมอเตอร์ไซค์แข่ง ได้รับการติดตั้งระบบเสริมความปลอดภัยต่างๆ เช่น Race ABS และระบบรักษาเสถียรภาพ DTC Dynamic Traction Control ขณะที่ BMW F 800 R เป็นมอเตอร์ไซค์ในเซ็กเมนต์สปอร์ตแบบ Naked Bike ที่เน้นในเรื่องความปราดเปรียวว่องไว บังคับควบคุมง่าย ซึ่ง BMW F 800 R ได้สร้างชื่อในการแข่งขันการขับมอเตอร์ไซค์แบบผาดโผนโดยการเป็นรถคู่ใจของแชมป์โลกการขับมอเตอร์ไซค์ผาดโผน 4 สมัย คริส ไฟเฟอร์
BMW R 1200 GS / Adventure เป็นมอเตอร์ไซค์ในเซ็กเมนต์ Enduro ซึ่งเป็นรุ่นยอดนิยมสำหรับตลาด เมืองไทยเป็นอย่างมาก เครื่องสูบนอนแบบบ็อกเซอร์ 2 สูบ 1170 ซีซี พร้อมระบบวาล์วแบบ DOHC ใหม่ เพิ่มกำลังอีก 5% เป็น 110 แรงม้าที่ 7,750 รอบและแรงบิดสูงสุด 120 นิวตัน-เมตรที่ 6,000 รอบ ส่วน BMW R 1200 RT เป็นมอเตอร์ไซค์ในเซ็กเมนต์ Touring ที่เน้นการขับขี่ทางไกลได้อย่างสะดวก สบายและปลอดภัย ใช้เครื่องสูบนอนบ็อกเซอร์แบบ 2 สูบ 1170 ซีซี 16 วาล์ว DOHC ซึ่งได้รับการปรับเพิ่มกำลังอีก 5% เป็น 110 แรงม้า มาพร้อมกับช่วงล่างแบบ ESA II (Electronic Suspension Adjustment) ซึ่งสามารถปรับความนุ่มนวลให้เหมาะสมกับสภาพถนนและการบรรทุกได้ นอกจากนั้นยังสามารถติดตั้งอุปกรณ์เสริม เช่น วิทยุ ซีดี และ iPod ได้อีกด้วย